Connect with us

PINGBOOK

KOREA

DEATHNOTE “สมุดโน้ตกระชากวิญญาณ” (2006-08-29)

Part I – คดี คิระ – อยู่ ๆ ในญี่ปุ่นก็เกิดคดีประหลาดเมื่อเหล่าอาชญากรต่างล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ด้วยสาเหตุเดียวกันนั้นคืออาการหัวใจวาย – ผู้คนต่างยกย่องผู้พิพากษาชีวิตฆาตกรเหล่านั้นว่าเป็น “พระเจ้า” ผู้พิทักษ์ความถูกต้อง และเรียกเขาว่า Kira ( คิระ = Killer ) “คดี คิระ” กลายเป็นคดีที่ทำให้กรมตำรวจญี่ปุ่นปวดหัวที่สุด เพราะ เป็นคดีฆาตกรรมที่ฆาตกร ไม่เคยทิ้งร่องรอยในการฆ่าเอาไว้เลย …. ยางามิ ไลท์ ( ทัตซึยะ ฟูจิวาระ ) นักเรียนจอมอัจฉริยะ เจ้าของคะแนนสอบอันดับ 1 ของประเทศ ประกาศตัวเป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับการกระทำของ คิระ แม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายของนายตำรวจผู้รับชอบคดีนี้ก็ตาม… ไลท์ เชื่อแนวคิดที่ว่า ในเมื่อกฎหมายไม่สามารถจัดการคนกระทำความผิดได้ เราก็ต้องใช้วิธีอื่นจัดการคนเหล่านั้นผู้ชายคนนี้ชื่อ … “ยางามิ ไลท์” หรือ “คิระ”







จากเด็กนักเรียนหัวกะทิคะแนนอันดับหนึ่งของประเทศ ผู้มุ่งมั่นจะเดินตามรอยเท้าพ่อ ด้วยการเป็นตำรวจนักสืบอันดับ 1 ของประเทศ… กระทั่งเขาใช้ความเป็นอัจฉริยะของตัวเองแฮ็คข้อมูลจากกรมตำรวจ และพบว่ามีคดีอาชญากรรมนับพันคดี ที่ไม่สามารถพิพากษาคนผิดได้ ท่ามกลางความจริงที่สั่นคลอน ศรัทธาต่อความยุติธรรม อาจเป็น “สวรรค์” หรือ “นรก” ที่ลิขิตให้เขาได้เจอ…“สมุดโน้ต” เล่มหนึ่ง!!!

“ D E A T H N O T E ”

จากสมุดโน้ตธรรมดาที่ ไลท์ เจอในคืนฝนตก สมุดเล่มนั้นมีวิธีใช้เขียนเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้ว่า “ D E A T H N O T E ” มันคือ “บันทึกของยมทูต” เมื่อตกลงมาบนโลกมนุษย์ มันจะกลายเป็นสมบัติของมนุษย์ผู้เก็บได้ วิธีใช้ D E A T H N O T E เพียง “เขียนชื่อ–สกุล ของคนที่ต้องการฆ่า” ลงใน “D E A T H N O T E ” โดย ผู้เขียนจะต้องรู้จักหน้าตาของคนๆนั้น D E A T H N O T E ถึงจะส่งผลให้คนผู้นั้นตายภายใน 40 วินาที ซึ่งถ้าไม่ระบุสาเหตุการตายคนเหล่านั้นจะตายด้วยอาการเดียวกันนั่นคือ “หัวใจวาย”



*** มนุษย์ผู้สัมผัส D E A T H N O T E จะมองเห็นยมทูตเจ้าของ D E A T H N O T E ด้วย ***

หลังจากที่ ไลท์ เก็บ D E A T H N O T E ได้ เขาก็ใช้มันฆ่าอาชญากรทีละคน จากข้อมูลที่เขาเก็บไว้ โดยสร้างรูปแบบของคดีฆาตกรรม คิระ ขึ้น เพื่อปั่นหัวกรมตำรวจ ….

ยมทูต ลุค

เขาคือ ยมทูตผู้ครอบครอง D E A T H N O T E ยมทูตลุค คอยติดตาม ไลท์ ตลอดเวลา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ จนในที่สุดเขาก็พบว่า เด็กจอมอัจฉริยะอย่างไลท์ มีความอำมหิตเกินกว่าที่เขาคิดไว้

*** ยมทูตลุค มีความสามารถพิเศษคือ “ดวงตา ยมทูต” สามารถมองเห็น “ชื่อและอายุขัย” ของมนุษย์ได้… ยมทูตลุค พยายามหลอกล่อ ไลท์ เพื่อให้แลก “ดวงตา ยมทูต” กับ “อายุขัยครึ่งหนึ่งของไลท์” แต่เขาไม่ยินยอม ***


พระเจ้า ไม่ใช่ มนุษย์
กฎหมาย เท่านั้นที่มีสิทธิ์ พิพากษา ชีวิตมนุษย์ !!!


ผู้ชายที่ชื่อ… “ L ” หรือ “ริวซากิ” นักสืบจอมอัจฉริยะระดับโลก

จากความซับซ้อนของ คดีคิระ องค์กรตำรวจลับของโลก ได้ส่ง L (เคนอิชิ มัตสึยามะ) มาคลี่คลายคดี เขาได้ชื่อว่าเป็น “นักสืบจิมอัจฉริยะ” ที่ไม่เคยคลี่คลาย คดีไม่ได้ L ตรวจสอบจากรูปแบบการฆ่าจนรู้ว่าฆาตกรอยู่ที่ญี่ปุ่น เป็นเด็กที่มีนิสัยชอบเอาชนะและเป็นคนใกล้ชิดกับตำรวจ เขาจึงส่ง FBI มาสืบเรื่องนี้อย่างลับ ๆ แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่า FBI ที่ถูกส่งเข้ามาทุกคนถูกฆ่าตาย ทำให้ L ยิ่ง สงสัย ยางามิ ไลท์ ถึงขนาดติดกล้องสอดแนมจำนวน 67 ตัว ไว้ในห้องนอนไลท์ เพื่อสอดแนมพฤติกรรม แต่กล้องสอดแนมจำนวน 67 ตัวก็ยังคงทำอะไรไลท์ไม่ได้ เมื่อเขายังคงสร้างรูปแบบการฆาตกรรมให้ดำเนินต่อไปได้ แม้จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดก็ตาม

L คือ “นักสืบจอมอัจฉริยะ” ผู้ปกปิดชื่อ-สกุลจริงเอาไว้ L เป็นคนแรกที่พบว่า คิระ จะฆ่าใครต้องรู้จัก “ชื่อสกุล และ หน้าตา” โดยในการสืบสวนคดีคิระ L ต้องทำงานร่วมกับพ่อของไลท์ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสงสัยเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่ชื่อ ไลท์

L ท้าทายไลท์หลายอย่าง แต่ไม่เคยต้อนให้ไลท์จนมุมได้ จนกระทั่งเกิดคดี ชิโอริ ขึ้น “อาคิโนะ ชิโอริ” คือแฟนของไลท์ ที่ถูกคู่หมั้นของ FBI ที่ติดตามไลท์ จับไปเพื่อบีบคั้นให้ไลท์ยอมรับว่าแท้จริงแล้ว ไลท์ ก็คือ คิระ
L ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด เพราะสัญชาติญาณบาง
อย่างบอกเขาว่า ไลท์ คือ “ฆาตกร” แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะนำ
ไปสู่บทสรุปของคดีคิระ L และ ไลท์ ก็พบว่า คิระไม่ได้มี
คนเดียวเสียแล้ว นั่นหมายความว่ามี D E A T H N O T E
บนโลกนี้ถึง 2 เล่ม!!!



*** จุดเด่น : ภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่องเยี่ยมแห่งปี D E A T H N O T E ***

– เมื่อตั้งบูธขายสิทธิ์ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส D E A T H N O T E
ถูกบริษัทต่าง ๆ กว่า 50 บริษัท รุมแย่งซื้อสิทธิ์
– สร้างจากการ์ตูนยอดจำหน่ายทะลุ 15 ล้านฉบับ!!! (ลิขสิทธิ์การ์ตูนในประเทศไทย โดย บริษัท เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด)
– D E A T H N O T E ใช้ทุนสร้างไปทั้งหมด 2,000 ล้านเยน
– ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ญี่ปุ่น ทุ่มทุนเช่ารถไฟใต้ดินทั้งขบวน!!!
– D E A T H N O T E ฉบับภาพยนตร์ ได้ทำการสร้างทีเดียว 2 ภาค โดยภาคแรกจัดฉายที่ญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน (ภาค 2 จะฉายปลายเดือนตุลาคม 2006) กวาดรายได้ในวันเปิดตัวเป็นอันดับ 1 Box Office ด้วย
ตัวเลข “ 3 วัน 157 ล้านบาท” โค่นแชมป์หนังฟอร์มยักษ์อย่าง The Da Vinci Code ที่ครองแชมป์ต่อเนื่อง
มา 4 สัปดาห์ ยอดรายได้ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม ทำรายได้ทั้งสิ้น 350 ล้านบาท ยอดคนดูผ่านหลัก 1 ล้านคน
– ตัวละคร ยมทูตลุค ใช้เทคโนโลยีล่าสุดจาก “ดิจิตอล ฟรอนเทียร์” สตูดิโอที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก
มีชื่อเสียง ในการสร้างตัวละครแอนนิเมชั่นด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิค เทคนิคเดียวกับหนังฟอร์มยักษ์
The Lord of the Rings
– D E A T H N O T E ได้เพลง Dani California ของวงร็อคชื่อดังระดับโลก Red Hot Chili Peppers มาเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์
– “ทัตสึยะ ฟูจิวาระ” ถูกเลือกให้มารับบท “ยางามิ ไลท์” หรือ “คิระ” โดยเฉพาะ เนื่องจากโปรดิวเซอร์ติดใจการแสดงบทร้ายที่หลากหลายของเขาในเรื่อง Battle Royal
– “เคนอิชิ มัตสึยามะ” ผ่านการคัดเลือกนักแสดงกว่า 500 คน เพื่อมารับบท “ L ” หรือ “ริวซากิ” หลายคนจำเขาได้จากบท “ชิน” ในหนังเรื่องดัง NANA
– จากความสำเร็จ D E A T H N O T E กำลังจะถูกตีพิมพ์เป็น นิยาย ในญี่ปุ่น โดยใช้ชื่อว่า Death Note
Original Novel ตอน Another note หรือ คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ลอสแองเจลิส ที่ได้ “นิชิโอะ อิชิน”
นักเขียนชื่อดังรางวัล Mephis มาเป็นผู้ประพันธ์ กำหนดวางแผงในเดือนสิงหาคม
– D E A T H N O T E กำลังถูกนำมาสร้างเป็นการ์ตูน “Anime ฉบับทีวี” และเตรียมสร้าง “เกมนินเทนโด Death Note” เพื่อตีตลาดวัยรุ่นในต้นปีหน้า



http://wwws.warnerbros.co.jp/deathnote/


ภาพยนตร์ญี่ปุ่นระทึกขวัญเรื่องเยี่ยมแห่งปี!!!
สร้างจากการ์ตูนสุดฮิต “DEATH NOTE” ยอดขายอันดับ 1 ทะลุ 15 ล้านฉบับ!!!
ฝีมือการประพันธ์ของ “โอบะ สึงุมิ” และลายเส้นโดย “โอบาตะ ทาเคชิ”
(ลิขสิทธิ์การ์ตูนในประเทศไทย โดย บริษัท เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด)
เปิดตัวอันดับ 1 ถล่ม Box Office ญี่ปุ่น 3 วัน 157 ล้านบาท!!! (โค่นแชมป์หนังดัง “เดอะ ดาวินชี่ โค้ด”)

นำแสดงโดย : ทัตสึยะ ฟูจิวาระ (Battle Royale) รับบท “ยางามิ ไลท์” หรือ “คิระ”
เคนอิชิ มัตสึยามะ (NANA) รับบท “ L ” หรือ “ริวซากิ”
ผู้กำกับโดย : ชูสุเกะ คาเนโกะ (ซีรีส์ Godzila)


“ มนุษย์ .. ผู้ใด .. ที่ถูกเขียนชื่อ-สกุล ลงในโน้ตฉบับนี้ .. ต้องตาย! ” D E A T H N O T E

เขาคือ พระเจ้า ผู้ลิขิตชะตา มนุษย์
หรือคือ มนุษย์ ผู้อยากเป็น พระเจ้า


28 กันยายน 2549 ทุกโรงภาพยนตร์





“เบื้องหลังทุนสร้าง 2,000 ล้านเยน”


ห้องของ “ ยางามิ ไลท์”
ห้องของไลท์ถูกใช้เป็นฉากส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้ ช่วง 2 สัปดาห์แรก ทีมงานถ่ายทำหลายฉากที่เป็นการสนทนาระหว่างไลท์และยมทูตลุค และฉากที่ไลท์กำลังเขียนชื่อในสมุดโน้ต ตัวห้องถูกจัดให้เรียบร้อยและกะทัดรัด ล้อมรอบไปด้วยหนังสือเรียน, หนังสือต่างประเทศ, หนังสือประวัติศาสตร์อาชญากรรม และหนังสือเกี่ยวกับการพิจารณาคดีตามกฎหมายอย่างที่เห็นกันในหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ ตัวห้องแสดงให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของไลท์อย่างละเอียดมากซะจน “เท็ตซึยะ ฟูจิวาระ” ซึ่งรับบทไลท์ ถึงกับบอกว่า “ห้องนี้เป็นสเต็ปแรกที่ช่วยทำให้ผมเข้าใจตัวไลท์”

การกำเนิดของ “ ยมทูต ลุค ”
“ยมทูต ลุค” ตัวละครที่สร้างจากภาพแอนิเมชั่นซีจี ซึ่งข้องเกี่ยวกับไลท์หลายครั้งในเนื้อเรื่อง ทีมงานสร้างหนังและบริษัททำซีจี “ดิจิตอล ฟรอนเทียร์” ได้ทำการประชุมหลายครั้งและประณีตมาก ในเรื่องขั้นตอนทางเทคนิคเพื่อการถ่ายทำฉาก 1 ฉาก โดยถ่ายทำหลายช็อตระหว่างไลท์และโมเดลของยมทูตลุค, ถ่ายทำไลท์กับบลูสกรีนหลายช็อต และถ่ายทำฟุตเทจแบล็คกราวนด์อีกหลายช็อต ภาพฟุตเทจแบล็คกราวนด์ถูกถ่ายทำจากทุกมุมเพื่อให้ได้แสงเงาและแสงสะท้อนสมจริง “เท็ตซึยะ ฟูจิวาระ” ถูกขอให้ต้องแสดงฉากเดิม โดยต้องแสดงให้เหมือนเดิมในแต่ละครั้ง มันช่างเป็นทักษะที่สูง และต้องอาศัยสมาธิอย่างมาก
ด้วยความสูง 2 เมตร รูปโมเดลสำหรับแอนิเมชั่นซีจีถูกออกแบบโดยมีรายละเอียดให้ใกล้เคียงกับยมทูตลุคในหนังสือการ์ตูนต้นฉบับมากที่สุด เครื่องประดับที่แสดงความกล้าหาญที่เขาสวมใส่ถูกทำขึ้นจากแม่พิมพ์
ช่วงวันที่มีหิมะตกในอาโอยามะ กรุงโตเกียว ทีมงานถ่ายทำฉากที่ไลท์พบสมุดโน้ตและได้เจอกับลุคเป็นครั้งแรก พวกเราให้โมเดลยมทูตลุคเคลื่อนลงจากท้องฟ้า และพูดคุยกับไลท์โดยการใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ การถ่ายทำใช้เวลาหลายชั่วโมงจนถึงเที่ยงคืน

500 นักแสดงสมทบเพิ่มความสมจริงในเรื่องงานสร้าง

หนึ่งในเซอร์ไพรส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับทีมงานคือ จำนวนผู้เข้าร่วมแสดงซึ่งต้องการมีส่วนร่วมในฉากมหาวิทยาลัยของไลท์ ประชาชนกว่า 500 คนปรากฏตัวขึ้นทันทีที่ทีมงานลงโฆษณา พวกเขารู้สึกถึงการพูดปากต่อปากถึงหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ และการคาดหวังสูงสำหรับตัวหนัง โดยใช้เวลา 2 วันเพื่อถ่ายทำฉากที่ไลท์, ชิโอริ, นาโอมิ และตัวประกอบ 500 คนร่วมกัน
ไลท์ดูข่าวทางจอทีวีขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ที่ด้านข้างของตึกสูง เขียนชื่ออาชญากรคนหนึ่งซึ่งปิดตัวเองอยู่ในห้องร่วมกับผู้บริสุทธิ์กลุ่มหนึ่ง … ฉากนี้ถูกถ่ายทำด้านหน้าสตูดิโออัลต้า, เขตชินจูกุ และที่นี่ ตัวประกอบเกือบ 100 คนร่วมแสดง แม้ว่าทีมงานประกาศว่าข่าวไม่ใช่เรื่องจริง แต่คนที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งบังเอิญเดินบนถนนเชื่อข่าวและรู้สึกประหลาดใจกับเนื้อหาของข่าว
ขณะเดียวกัน ฉากที่ชิโอริดูคำแถลงการณ์ของแอลทางจอทีวีขนาดใหญ่ถูกถ่ายทำในฮาราจูกุ เมื่อคนที่ได้ดูแอล
ประกาศสงครามกับคิระบนจอ พวกเขาสังเกตว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Death Note และรู้สึกตื่นเต้นไปตามๆกัน

ที่ฟุกุโอกะ ประชาชนมากกว่า 100 คนร่วมแสดงในฉากใต้ดิน ความร่วมมือของคนจำนวนมากทำให้ฉากดูเหมือนจริงและมีพลังมากขึ้น

“พวกเราต้องการสร้างฉากที่แฟน ๆ สามารถมีส่วนร่วม” หนึ่งในทีมงานกล่าว
ต้องให้สมจริงเท่าที่จะเป็นไปได้ เบื้องหลังฉากจี้รถเมล์
ไลท์, เอฟบีไอ, เรย์ และชิโอริ ทุกคนข้องเกี่ยวกับฉากการจี้ครั้งนี้ รถเมล์ที่ถูกจ้างมาถูกติดด้วยรูปของ
มิสะ อามาตะวิ่งแล่นไปรอบๆแถวมาคุฮาริ ซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายทำเพราะถนนกว้างและสัญญาณไฟจราจรน้อย การจี้จะต้องเกิดขึ้นตอนที่รถเมล์กำลังวิ่ง หมายความว่าทีมงานเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถอยู่ในรถเมล์ได้ จึงเป็นการยากที่จะดำเนินการถ่ายทำ แต่กลับกลายเป็นว่าบรรยากาศสันโดษแบบนี้ทำให้ฉากดูน่าตื่นเต้น และสมจริงมากขึ้น

*** ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของญี่ปุ่น ทีมงานทุ่มทุน เช่ารถไฟใต้ดินทั้งขบวน!!! ***
การถ่ายทำฉากรถไฟใต้ดินเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดระหว่างการสร้างหนัง ไลท์, เอฟบีไอ และเรย์มีส่วนเกี่ยวข้อง ฉากนี้ยังเป็นหนึ่งในไฮไลต์ในหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ เป็นส่วนที่น่าตื่นเต้นและจำเป็นสำหรับเนื้อเรื่อง แต่มันกลับเป็นปัญหาใหญ่ รถไฟใต้ดินเป็นการขนส่งมวลชน และไม่ได้เช่าหรือจ้างง่ายๆเหมือนอย่างแท็กซี่หรือรถเมล์ สถานที่ควรจะเป็นโตเกียว ดังนั้นทีมงานจึงขออนุญาตไปยังโตเกียว เมโทร พวกเขาก็ล้มเหลวในการต่อรอง เพราะเงื่อนไขค่อนข้างจะเข้มงวด พวกเขาลองติดต่อไซตามะ, ชิบะ และคิวชูเพื่ออนุญาตให้พวกเขาทำในสิ่งที่ต้องการ

ในที่สุดรถไฟสายสนามบินในเมืองฟุกุโอกะ แถบคิวชูให้ไฟเขียวพวกเขา ซึ่งต้องขอบคุณทีมงานภาพยนตร์ในฟุกุโอกะ แต่ก็กลับมีปัญหาอีกครั้ง ในตอนแรกทางรถไฟอนุญาตให้ทีมงานถ่ายทำหลังจากรถไฟขบวนสุดท้าย เพราะประชาชนมากกว่า 2.6-2.7 ล้านคนใช้รถไฟสายนี้ในแต่ละวัน แต่ทางทีมงานต้องการเช่ารถไฟในช่วงกลางวันเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของฉาก ดูเหมือนจะไม่มีทางได้รับการอนุมัติ แต่การตัดสินใจของทีมงานและความนิยมของหนังสือการ์ตูนต้นฉบับได้สร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น พวกเขาสามารถถ่ายทำได้ 48 ชั่วโมง และได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำช่วงกลางวัน
พวกเขาไม่มีเวลามาก ต้องไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดระหว่างถ่ายทำ ทีมงานถ่ายทำภายใต้ความกดดัน ไม่ได้หลับได้นอน เพราะพวกเขาต้องถ่ายทำช่วงกลางคืนอีกด้วย ตัวประกอบราวๆ 100 คนเข้าร่วมแสดง ซึ่งทำให้เกิดฉากที่น่าจดจำมากที่สุดฉากหนึ่งเหมือนกับในต้นฉบับ

*** เทคโนโลยีล่าสุด และ ดีที่สุด ซึ่ง “ ดิจิตอล ฟรอนเทียร์ ” ภูมิใจเสนอ ***
เครดิตต่างๆ ได้แก่ ภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติ เรื่อง Appleseed และ Tokyo Zombie, งานภาพคอมพิวเตอร์ในเรื่อง Ping Pong และ Aegis “ดิจิตอล ฟรอนเทียร์” มีสตูดิโอพร้อมด้วยกล้อง 58 ตัว ซึ่งถือว่าขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก มีชื่อเสียงมากในการสร้างตัวละครแอนิเมชั่นด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิค 100 เปอร์เซ็นต์ ในเรื่อง Death Note พวกเขาได้รวมเอาแอนิเมชั่นและไลฟ์แอ็คชั่นเข้าด้วยกัน

“พวกเราต้องการให้เหมือนกับ “The Lord Of The Rings” ชายคนหนึ่งที่ดูแลโปรเจกต์เรื่องนี้กล่าว ทีมงานประกอบด้วย 30 ชีวิตรวมผู้กำกับอีก 3 คน บรรดาผู้กำกับได้พัฒนาโค้ดเพื่อสร้าง ลุคโดยนำเค้าโครงจากข้อมูลที่มาจากการจับภาพเคลื่อนไหว, ฉากไลฟ์แอ็คชั่น และรวมเข้ากันด้วยภาพแอนิเมชั่น แล้วยังต้องข้องเกี่ยวกับการซ้อมกล้องและการจัดไฟตามอารมณ์ซึ่งทำให้งานดิจิตอลนุ่มนวลและสมจริงมากขึ้น
ลุคต้องเหมือนกับในต้นฉบับ แต่อาจขาดความสมจริงถ้าเขาเหมือนในการ์ตูนมากเกินไป เป็นเรื่องยากมากที่จะหาจุดสมดุล ทีมงานรวบรวมภาพ 50 – 60 รูปซึ่งแสดงถึงลักษณะนิสัยพิเศษของลุคจากหนังสือการ์ตูนโดยกลายเป็นพื้นฐานในการทำงานของพวกเขา

ความลำบากอีกข้อที่พวกเขาต้องเผชิญ คือ รูปร่างลักษณะของลุค เขาสวมเสื้อผ้าสีดำ หน้าของเขาซีด ขณะที่ตาสีเหลือง สีเหลืองดูเหมือนจะลอยออกมาเมื่อตัดกับอีก 2 สี ความสมดุลจึงเกิดขึ้นอีกครั้งซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ ต่างหู วิกผมของลุค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมุดโน้ตแห่งความตายซึ่งเขาถือเอาไว้ที่เอวถูกสร้างอย่างประณีตเพื่อให้ดูสมจริง ทีมงานใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พอใจ

ไม่ใช่แค่เพียงเทคโนโลยี แต่ยังมีภาพจินตนาการที่ซับซ้อนซึ่งจำเป็นในการสร้างสรรค์ตัวยมทูตลุค เช่น เขาลอยในอากาศโดยไม่ต้องใช้ปีก การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาขึ้นอยู่กับจินตนาการของนักออกแบบล้วนๆ

ทีมงานใช้โปรแกรมถึง 4 โปรแกรมด้วยกัน โปรแกรม Boujou สำหรับการจับกล้อง, MotionBuilder สำหรับการสร้างภาพแอนิเมชั่น, Maya สำหรับการให้แสงและงานอื่นๆ และ AfterEffects สำหรับการรวมภาพแอนิเมชั่นกับไลฟ์แอคชั่น หนึ่งในสมาชิกของทีมงานกล่าวว่า “เทรนด์ล่าสุดของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟฟิคแสดงให้เห็นถึงความสมจริงของภาพแอนิเมชั่น” ผลลัพธ์ที่ได้คือ ยมทูตลุคมีชีวิตชีวาพอๆกับไลท์บนจอภาพยนตร์

ฉากแอ็คชั่นในแบบหนังบล็อกบัสเตอร์ถูกใช้น้อยมากในหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับ “คาเนโกะ” ทำให้ทีมงานต้องลำบากโดยการถ่ายทำ ฉากยมทูตลุคคุยกับไลท์ความยาว 1 นาที เพราะคาเนโกะต้องการให้ยมทูตลุคดูเหมือนจริงพอๆกับไลท์ โดยให้การเคลื่อนไหวค่อนข้างนิ่งและเงียบ ทีมงานจำเป็นต้องดูแลท่าทางเล็กๆน้อยๆ “มันยากกว่าฉากแอ็คชั่น แต่พวกเราสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟฟิคก้าวหน้าไปมากแค่ไหน”

พวกเขาต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษว่ายมทูตลุคโต้ตอบทางสายตากับไลท์ได้เหมาะสมหรือไม่ “ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าพวกเราสร้างการเคลื่อนไหว การจัดแสดง และการให้สีสันกันอย่างไร ดังนั้นพวกเราจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเรื่องนี้ด้วย”
พวกเขาสร้างฉากซีจีราวๆ 60 ฉาก และอีก 10 ฉากสำหรับฉากพิเศษ พวกเขายังสร้างฉากต่างๆตามคำขอของผู้กำกับ “คาเนโกะ” โดยการเพิ่มบรรยากาศที่มีความหมายเข้าไปด้วย

Death Note “สมุดโน้ตแห่งความตาย”
วิธีการใช้
– มนุษย์ที่ชื่อถูกเขียนไว้ในสมุดโน้ตเล่มนี้จะต้องตาย
– สมุดโน้ตเล่มนี้จะไม่สำแดงผลถ้าผู้เขียนไม่ได้นึกหน้าของคนๆนั้นขณะกำลังเขียนชื่อ
ดังนั้น คนที่มีชื่อเดียวกัน จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
– ถ้าสาเหตุการตายถูกเขียนภายใน 40 วินาทีที่เขียนชื่อคน ก็จะตายตามนั้น
– ถ้าสาเหตุการตายไม่ได้ถูกระบุ คนนั้นจะตายด้วยอาการหัวใจวาย
– หลังจากเขียนสาเหตุการตาย รายละเอียดการตายควรเขียนในอีก 6 นาที 40 วินาทีถัดไป
– สมุดโน้ตเล่มนี้จะเป็นสมบัติของโลกมนุษย์ เมื่อตกมาถึงโลกมนุษย์
– ผู้ได้ครอบครองสมุดโน้ตนี้จะสามารถรับรู้ภาพและเสียงเจ้าของดั้งเดิมได้ เช่น ยมทูต
– มนุษย์ที่ใช้สมุดโน้ตเล่มนี้จะไม่สามารถตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ได้

ดนตรีประกอบ
“Red Hot Chilli Peppers” (เรด ฮ็อต ชิลลี่ เพ็พเปอร์ส)
วงดนตรีร็อคจากแคลิฟอร์เนียวงนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1983 โดยปล่อยอัลบั้มแรกที่ชื่อ Red Hot Chilli Peppers ในปี 1984 พวกเขามีประสบการณ์ในการเปลี่ยนสมาชิกในวง ตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มที่ 3 ของพวกเขาที่ชื่อ The Uplift Mofo Party Plan แต่พวกเขายังคงประสบความสำเร็จทั้งด้านคำวิจารณ์และรายได้ และยังคงอยู่ในระดับต้นๆ ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแจ้งเกิดเพลง Black Sugar Sex Magic ว่ากันว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกดนตรีแนวโมเดิร์นร็อค และทลายปราการทางดนตรีโดยการผสมผสานดนตรีร็อค ป๊อป พังค์ ฟังค์ เฮฟวี่ เมทอล และฮิพฮอพเข้าด้วยกัน การแสดงบนเวทีของพวกเขา และเนื้อเพลงที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจในบางครั้งมีส่วนช่วยให้พวกเขามีอิทธิพลต่อวงการดนตรี

ผลงานล่าสุดที่ฮิตอย่างมาก คือ อัลบั้มการรวมตัวของสมาชิกรุ่นแรกที่มีชื่อว่า Californication จอห์น ฟรัสซิแอนตี้ กลับมารับตำแหน่งเดิมของมือกีตาร์วง Jane’s Addiction ที่ชื่อ เดฟ นาวาร์โร่ อัลบั้มนี้ขายได้ 130 ชุดทั่วโลก ซึ่งกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุด อัลบั้มถัดมา คือ By The Way เพลงชื่อเดียวกับอัลบั้มก็กลายเป็นเพลงฮิตอีกเพลงหนึ่ง พวกเขาออกทัวร์ในประเทศญี่ปุ่นด้วยบัตรที่ขายหมดเกลี้ยง รวมถึงการแสดงที่เทศกาลดนตรีร็อคฟูจิ และเป็นการตอกย้ำความเป็นวงดนตรีระดับต้นๆ จากนั้นพวกเขาออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก และเป็นอีกครั้งที่ได้บันทึกสถิติการขายบัตรโชว์ 3 วันที่ไฮด์ พาร์คได้เร็วที่สุด พวกเขาบันทึกการแสดงครั้งนั้นในกรุงลอนดอน ปี 2004 และปล่อยอัลบั้มแสดงสดอัลบั้มแรกของพวกเขาที่ชื่อ Live In Hyde Park (ซีดีคู่)

เดือนพฤษภาคม ปี 2006 พวกเขาปล่อยอัลบั้มชุดที่ 9 ที่ชื่อ Stadium Arcadium อัลบั้มคู่ 28 เพลงนี้โปรดิวซ์โดย ริค รูบินซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากด้านดนตรีแร็ป และเฮฟวี่ เมทอล อัลบั้มได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวก และซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มที่ชื่อ Dani California กลายเป็นซิงเกิ้ลที่ขายได้รวดเร็วที่สุดของพวกเขา และได้ประกอบอยู่ในหนังเรื่อง Death Note ด้วย
หลังจากการเลือกเพลงธีมให้กับเรื่อง Death Note แล้ว ผู้อำนวยการสร้างหนัง “ทาคาฮิโร่ สารุเทะ” บอกว่า “พวกเราต้องการศิลปินที่ทรงพลังพอๆกับหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ วง “เรด ฮ็อต ชิลลี่ เพ็พเปอร์ส” จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในวงดนตรีชั้นนำ และ มีพรสวรรค์มากที่สุดของโลก” เรด ฮ็อต ชิลลี่ เพ็พเปอร์ส เคยให้เพลงของพวกเขาประกอบหนังมาก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบในแง่ดีจากทางวงเมื่อเขายื่นข้อเสนอพร้อมกับหนังสือการ์ตูนฉบับภาษาอังกฤษ แต่เขากลับต้องประหลาดใจ ทางวงเปิดทางไฟเขียวให้กับเขา พวกเขารู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในหนัง จากบรรดาเพลงในอัลบั้มล่าสุดของพวกเขา เพลง Dani California ถูกใจสารุเทะที่สุด เมโลดี้จับใจและทรงพลังซึ่งดึงความสนใจได้ในทันทีได้เพิ่มสีสันให้กับหนัง “สารุเทะ” บอกว่า “เนื้อเรื่องหนังเกี่ยวกับสมุดโน้ตซึ่งฆ่าใครก็ตามที่ชื่อของเขาหรือเธอถูกเขียนลงไป ยมทูตจะปรากฏตัวขึ้นด้วย ออกแนวแฟนตาซีมากกว่าเรื่องจริง แต่พวกเขาต้องการสร้างหนังให้ดูสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดนตรีทรงพลังของเรด ฮ็อต ชิลลี่ เพ็พเปอร์สได้ช่วยทำให้หนังสมจริงมากขึ้น”
จากการที่ได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ สมาชิกของวง เรด ฮ็อต ชิลลี่ ได้ให้ความเห็นไว้ดังนี้
“ไม่ต้องกลัวที่จะลองฟังเพลงของพวกเราที่ชื่อ Dani California มันเป็นเพลงธีมของหนังเรื่อง Death Note”
(แอนโธนี่ คีดิส)
“พวกเราภูมิใจและดีใจที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง” (ฟลี)

“ทัตสึยะ ฟูจิวาระ” รับบท “ยางามิ ไลท์”
เท็ตซึยะ เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม ปี 1982 ที่จังหวัดไซตามะ เขาผ่านการทดสอบบทจากของยูกิโอะ นินากาว่า เรื่อง Shintokumaru ปี 1997 ตอนที่เขาอายุ 15 ขวบ เขาเปิดตัวละครเวทีที่โรงละครบาร์บิกันในลอนดอน เขาจึงมีชื่อเสียงจากการแสดงอันน่าหลงใหลและการมีสมาธิอย่างสูงของเขา และเขาได้เริ่มทำงานในหลายๆสาขา เช่น ละคร, ภาพยนตร์, รายการโทรทัศน์ และโฆษณาทางทีวี ในปี 2003 เขารับบทนำให้กับละครเรื่อง Hamlet (กำกับโดย ยูกิโอะ นานิกาว่า) และได้รับรางวัลหลายรางวัล เขาเคยได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากรางวัลออสการ์ของญี่ปุ่นครั้งที่ 27 จากเรื่อง Battle Royale ในปี 2001 (กำกับโดย คินจิ ฟุคุสากุ) ในปี 2005 เขาเปิดตัวละครเวทีในนิวยอร์คด้วยเรื่อง Modern Noh Plays และได้รับคำชมมากมาย

สำหรับหนังที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนเรื่อง Death Note หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การคัดเลือกนักแสดงสำหรับตัวละครหลัก “ยางามิ ไลท์” หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังแอ็คชั่น แต่ออกไปในแนวทริลเลอร์จิตวิทยามากกว่า ตัวไลท์เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเรียนด้านกฎหมาย เขาใช้สมุดโน้ตแห่งความตายเพื่อฆ่าอาชญากรเพื่อสร้าง “โลกในอุดมคติที่ปราศจากอาชญากรรม” เขาเป็นฮีโร่และปีศาจ เท็ตซึยะ ฟูจิวาระ ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงของเขา เป็นนักแสดงเพียงคนเดียวที่สามารถเล่นบทบาทยากๆนี้ได้ เขาเคยรับบทบาทที่ซับซ้อนมาหลายบทเช่น Hamlet, บทโทชิโนริ ในเรื่อง Yoroboshi และบท อาคิยะใน Battle Royale ประสบการณ์เหล่านั้นช่วยทำให้ ไลท์ มีชีวิตชีวา

“ไลท์ก่ออาชญากรรมโดยปราศจากความรู้สึก และเพราะว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆ การรับบทไลท์จึงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผม ครั้งแรกที่ผมได้อ่านเรื่องต้นฉบับ ผมคิดว่ารับบท แอล น่าสนใจมากกว่า เพราะเขาเป็นคนแปลก ไลท์ไม่มีบุคลิกโดดเด่นเหมือนกับ แอล ความรู้สึกและความคิดของเขาสามารถแสดงออกทางสีหน้า ตัวอย่างเช่น ผมพยายามสร้างความแตกต่างด้วยรอยยิ้มของเขา ตัวหนังน่าสนใจขึ้นเมื่อได้เพื่อนในวัยเด็กของเขาที่ชื่อ ชิโอริซึ่งไม่มีในเนื้อเรื่องต้นฉบับ และบางฉากก็ไม่ได้อยู่ในต้นฉบับด้วย ช่างน่าตื่นเต้นที่จะต้องวางแผนว่าจะรับบท ไลท์ อย่างไร หนังสือต่างๆในฉากห้องของไลท์มีประโยชน์มากสำหรับการรับบท ไลท์ ผมรู้สึกเหมือนว่าผมเข้าใจตัวไลท์ … มีหนังสือมากมายเกี่ยวกับกฎหมายและอาชญากรรม หนังสือรูปภาพสงครามมีผลกระทบอย่างมากกับผม” เท็ตซึยะ กล่าว
ตัวหนังสือใน Death Note ในหนังเขียนโดยตัวเท็ตซึยะเอง เขาบอกว่า “ผมไม่คอยมีความมั่นใจในเรื่องการเขียน ช่างน่าอายจริงๆ…”

เขายังต้องแสดงร่วมกับตุ๊กตายมทูตลุคขนาดเท่าของจริงเมื่อถึงฉากที่จะต้องถ่ายทำกับยมทูตลุค เพราะยมทูตลุคถูกสร้างขึ้นโดยซีจี การแสดงของเท็ตซึยะ ประสบความสำเร็จในการทำให้ของปลอมกลายเป็น “ของจริง”
ตัวเท็ตซึยะเองกลับกลายเป็นแฟนตัวยงของการ์ตูนต้นฉบับ

“หลานของผมเป็นแฟนหนังสือการ์ตูน แล้วเธอก็เล่าเรื่องให้ผมฟัง ผมเริ่มอ่านเมื่อได้รับข้อเสนอให้แสดง มันช่างสนุกจนผมไม่สามารถหยุดอ่าน ไลท์ฆ่าคนไปเรื่อยๆด้วยสมุดโน้ต แต่เขามีความตั้งใจดีที่จะสร้างโลกให้ดีขึ้น และฆ่าแค่อาชญากรเท่านั้น การฆาตกรรมเป็นสิ่งน่ากลัว แต่ผมก็เข้าใจความคิดของเขาในการสร้าง “โลกใหม่ในอุดมคติ” ผลงานคลาสสิกเรื่อง Crime And Punishment ของโดสโตฟสกี้ก็มีธีมเรื่องคล้ายกัน เรื่อง Death Note มีเนื้อเรื่องแปลกแต่แสดงธีมได้แน่นอนมาก
ผลงานเรื่องอื่นๆของเขา ได้แก่ Battle Royale II: Requiem (ปี 2003 กำกับโดย คินจิ และเคนตะ ฟุกาสากุ) และเรื่อง Moonlight Jellyfish (ปี 2004 กำกับโดย โคสุเกะ ซึรูมิ)

“เคนอิชิ มัตสึยามะ” รับบท “แอล / ริวซากิ”
เคนอิชิ เกิดที่จังหวัดอาโอโมริเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 1985 เขาได้รับรางวัลแกรนด์ไพรซ์ที่งาน New Style Audition ซึ่งจัดโดย HoriproxBoonxParco ในปี 2001 ในปีเดียวกันเขาเริ่มต้นอาชีพด้วยผลงานโฆษณารณรงค์ที่ชื่อ Looking For A New ‘New’ ของ Parco ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Bright Future (กำกับโดย คิโยชิ คูโรซาว่า) ในปี 2002 เขารับบทนำในปี 2003 เป็นครั้งแรกในเรื่อง Winning Pass (กำกับโดย ชินอิชิ นากาตะ) ในปี 2005 เขาปรากฏตัวในหนังบล็อกบัสเตอร์หลายเรื่อง เช่น NANA (กำกับโดย เคนทาโร่ โอตานิ) และเรื่อง Otoko-tachi no Yamato (กำกับโดย จุนยะ ซาโต้) เขามีความสามารถพิเศษที่จะรับบทไหนก็ได้ เขาแสดงตั้งแต่บทนักเรียนไฮสคูลไปจนถึงนักดนตรี หรือทหารเรือ เขามอบความประทับใจอย่างโดดเด่นในผลงานของจุนยะ ซาโต้ เรื่อง Otoko-tachi no Yamato โดยรับบทชายหนุ่มในช่วงสงครามที่ถ่ายทอดการดิ้นรนเพื่อชีวิตของเขา

เขารับบท “แอล” ในเรื่อง Death Note ซึ่งเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของไลท์ โดยเป็นตัวละครตัวสำคัญ แอลถูกส่งไปยังโตเกียวโดย ICPO เพื่อสอบสวนคดีคิระ เบื้องหลังของแอลไม่มีใครทราบ
เคนอิชิ ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนตัวเองด้วยการเม้คอัดตาเพื่อให้ดูเหมือนกับแอลในหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ นิสัยการนั่งทับขาของแอลไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมัตซึยาม่า ถึงอย่างนั้นเขามีส่วนร่วมในการสร้างหนังโดยการเลือกของหวานที่แอลต้องกินให้กับตัวเอง หรือการพิจารณารายละเอียดของตัวละคร

“ผมต้องการรับบทแอลอย่างที่ผมคิดและรู้สึก ผมจะมีความสุขถ้าผมสามารถใช้ชีวิตอย่างแอล” เคนอิชิกล่าว
“คิระเป็นนักจัดนิทรรศการเป็นอาชญากรที่บกพร่องเรื่องความยุติธรรม” แอลกวนคิระขณะที่เคนอิชิประจันหน้ากับรุ่นพี่อย่างเท็ตซึยะซึ่งรับบทไลท์ การต่อสู้ระหว่างนักแสดงทั้งสองเป็นฉากที่ต้องดูในหนัง “พวกเขาทั้งสองเป็นนักแสดงที่หาตัวจับยากซึ่งสามารถรับบทเด็กหนุ่มได้ตามที่บรรยายไว้ในหนังสือการ์ตูน” ผู้กำกับ “ชุซูเกะ คาเนโกะ” กล่าวชมเชยนักแสดงทั้งสอง
ผลงานหนังเรื่องอื่นๆของเคนอิชิ ได้แก่ เรื่อง Furyo shonen no yume (ปี 2005 กำกับโดย จุนจิ ฮานาโดะ), Custom Made 10.30 (ปี 2005 กำกับโดยอานิกิ), Linda Linda Linda (ปี 2005 กำกับโดยอะซูฮิโร่ ยามาชิตะ) และเรื่องอื่นๆอีกมาก ทางด้านทีวี เขาเคยปรากฏตัวในละครทางทีวีหลายเรื่อง เช่น Gokusen (เอ็นทีวี), Be Bop Highschool (ทีบีเอส), One Liter Of Tears (ซีเอ็กซ์) หนังอีกเรื่องที่ชื่อ Oyayubi sagashi (กำกับโดย นาโอโตะ คุมาซาว่า) ถูกวางว่าจะออกฉายฤดูร้อนปีนี้

“อาซากะ เซโตะ” รับบท “นาโอมิ มิโซระ”
อาซากะ เกิดที่จังหวัดไอฉิ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ปี 1976 เธอเป็นนักแสดงที่ต้องการตัว อย่างมากสำหรับภาพยนตร์, ทีวี และโฆษณา เธอเปิดตัวด้วยภาพยนตร์ในปี 1992 และได้แสดงในหนังหลายเรื่อง เช่น 2/2 (ปี 2006 กำกับโดย ฮิเดะฮิโร่ อิโตะ), Chakushin ari 2 (ปี 2005 กำกับโดย เร็นเป ซึคาโมโตะ) และเรื่อง Travail (ปี 2002 กำกับโดย เคนทาโร่ โอตานิ) เธอเป็นที่รู้จักในต่างประเทศจากการแสดงในเรื่อง Bullets Of Love (ปี 2001 กำกับโดย แอนดรูว์ เลา) โดยเธอรับบทนำ
เธอแสดงในเรื่อง Death Note ในบท “นาโอมิ มิโซระ” คู่หมั้นของเรย์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ เธอตามล่า คิระ ซึ่งเป็นอีกชื่อของไลท์ นาโอมิปรากฏตัวในหนังสือการ์ตูนในตอนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมากจากบรรดาแฟนการ์ตูนต้นฉบับ
“เธอเป็นผู้หญิงน่าทึ่งซึ่งคอยตามล่าอาชญากร โดยยินดีเสียสละตัวเอง ฉันได้ยินว่ามีแฟนของนาโอมิเป็นจำนวนมาก และรู้สึกกดดันเล็กน้อย แต่ฉันแสดงสุดความสามารถเพื่อไม่ให้บรรดาแฟนๆผิดหวัง” เซโตะกล่าว

ความงามและความแข็งแกร่งของเซโตะเป็นที่รู้จักไม่ใช่แค่เพียงในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นในระดับนานาชาติ เธอแสดงให้เห็นเสน่ห์และความสามารถจากการรับบทนาโอมิ หญิงที่ทั้งกล้าหาญและอ่อนโยน เป็นเจ้าหน้าที่สอบสวน แต่ก็เป็นหญิงที่ตกหลุมรักและหวังว่าจะใช้ชีวิตที่มีความสุขกับชายที่เธอรัก ฉากที่นาโอมิต้อนไลท์จนมุม ช่างเป็นฉากที่โดดเด่นมาก

“ฉากที่ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจ คือ ฉากรถไฟใต้ดิน พวกเรามีรถไฟใต้ดินเป็นของเราเองเพื่อไว้ถ่ายทำ ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และฉันว่าบางทีคงจะไม่เกิดขึ้น…อีกครั้ง ปกติฉันค่อยไม่มีโอกาสได้ใช้รถไฟใต้ดิน ดังนั้นการถ่ายทำจึงค่อนข้างลำบาก แต่ฉันก็เพลิดเพลินกับมัน มันช่างเป็นประสบการณ์ในการถ่ายหนังที่มีค่าสำหรับฉันจริงๆ”

เกี่ยวกับเรื่อง Death Note “มันเป็นหนังที่น่าสนใจมาก แนวคิดของหนังน่ากลัว ใครที่มีชื่อเขียนในสมุดโน้ตจะต้องตาย และใครก็ได้สามารถฆ่าคนอื่นโดยการเขียนชื่อคน การได้อ่านหนังสือการ์ตูนต้นฉบับทำให้หัวใจฉันเต้นถี่ มันทำให้ฉันกลัวเมื่อนึกภาพว่า ถ้าสมุดนั้นมีจริง และถ้าฉันได้มันมาอยู่ในมือของฉันเอง” เซโตะกล่าว

ผลงานเรื่องอื่นๆของเธอ ได้แก่ ละครทีวี เรื่อง Oh-oku ตอนที่ 1 (ซีเอส) และ Nyokei Kazoku (ทีบีเอส) หนังเรื่อง Black Night เวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นซึ่งจะออกฉายฤดูร้อนปีนี้

“ยู คาชิอิ” รับบท “ชิโอริ อาคิโนะ”
ยู คาชิอิ เกิดที่จังหวัดคานางาวะ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1987 เธอใช้เวลาในวัยเด็กที่ประเทศสิงคโปร์ เธอเริ่มต้นอาชีพของเธอในฐานะนางแบบให้กับนิตยสารชื่อ mc sister ในปี 2001 เธอทำงานหลักด้านละครทางทีวี และโฆษณาทางทีวีก่อนที่จะแสดงในละครเรื่อง Water Boys (ซีเอ็กซ์) ละครทีวีซึ่งนำพาเธอให้ได้แสดงหนังเปิดตัวเรื่อง Lorelei: The Witch Of The Pacific Ocean ในปี 2005 ยูคาอิชิแสดงให้เห็นขอบเขตการรับบทบาทตัวละครลึกลับและซับซ้อนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ (เรือรบ) ขณะที่เป็นมนุษย์ในเวลาเดียวกัน เธอได้รับรางวัลนักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในปีเดียวกันจาก รางวัลยามาจิ ฟูมิโกะครั้งที่ 29 การแสดงของเธอในผลงานหลายเรื่องทำให้เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ฝีมือไว้ใจได้คนหนึ่งของทุกวันนี้ เธอรับบท “ชิโอริ อาคิโนะ” ในเรื่อง Death Note ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกสร้างเพื่อภาพยนตร์ ชิโอริเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันไลท์ ยางามิและรู้จักกับเขาตั้งแต่เด็ก เธอหลงรักไลท์ แต่ไม่เห็นด้วยที่ไลท์เพราะเธอเชื่อว่ามีเพียงกฎหมายที่ควรใช้จัดการกับประชาชน เธอรับบทบาทสำคัญในการเปิดเผยความคิดของไลท์

“ฉันรู้สึกดีใจที่รู้ว่าตัวเองได้รับบทในหนัง แต่ในเวลาเดียวกัน ฉันก็รู้สึกกังวลว่าแฟนของ Death Note จะรับได้ไหมที่มีชิโอริซึ่งเป็นตัวละครใหม่ที่เข้ามาในโลกของ Death Note ชิโอริไม่ปรากฏในหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ ฉันก็ได้แต่หวังว่าคนดูจะเพลิดเพลินไปกับชิโอริไม่ใช่แค่เพียงแค่ความตื่นเต้นของหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ แต่ยังรวมถึงส่วนผสมที่มีแต่หนังเท่านั้นที่สามารถมอบให้ได้ด้วย … ชิโอริเป็นคนใสบริสุทธิ์มาก เธอเชื่อในความยุติธรรม นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมวิธีที่เธอคิดถึงใกล้เคียงกับคนดูที่สุด … มีหลายสิ่งที่ฉันได้รับประสบการณ์เป็นครั้งแรกในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เช่น การมีรถเมล์ หรือพิพิธภัณฑ์เป็นของเราเอง หรือการใช้ฉากภายนอกกลางถนนฮาราจูกุ และอื่นๆ … ฉันคิดว่าฉันคงไม่มีทางลืมหนังเรื่องนี้” คาชิอิบอก
เครดิตผลงานเรื่องอื่นๆของเธอ ได้แก่ Linda Linda Linda (ปี 2005 กำกับโดย โนบุฮิโระ ยามาชิตะ), Hold Up Down (ปี 2005 กำกับโดย ซาบุ) และเรื่อง Until The Night Come Back (ปี 2005 กำกับโดยทาคาชิ มินาโมโตะ) และผลงานละครทางทีวีเรื่อง Nyokei Kazoku (ทีบีเอส) หนังอีก 2 เรื่อง คือ Starlight High Noon (กำกับโดย โยสุเกะ นาคางาวะ) และ The Pavillion Salamandre (กำกับโดย มาสาโนริ โทมินางะ) จะออกฉายช่วงฤดูร้อนปีนี้

“เอริกะ โทดะ” รับบท “มิสะ อามาเนะ”
เอริกะ เกิดที่จังหวัดเฮียวโกะ วันที่ 17 สิงหาคม 1988 เธอเริ่มการแสดงในซีรีส์ละครทางทีวีเรื่อง Audrey (เอ็นเฮชเค) ในปี 2001 เธอทำงานหลักๆด้านละครทางทีวี และโฆษณา เรื่อง Engine (ซีเอ็กซ์) ฉายเมื่อเดือนเมษายน ปี 2005 ซึ่งเธอรับบทประจำได้รับเรตติ้งสูง และในเดือนตุลาคมปีเดียวกันทำให้เธอได้รับบทหญิงฉลาดในเรื่อง Nobuta wo Produce (เอ็นทีวี) ซึ่งเป็นละครทีวีที่ดัดแปลงมาจากนิยายขายดี ละครเรื่องนี้ได้เพิ่มความดังให้กับเธอมากขึ้นไปอีก เธอได้รับบทฮีโร่หญิงในละครเรื่อง Galcir (เอ็นทีวี) ตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้ เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่ฮอตที่สุดของวันนี้
Death Note เป็นผลงานหนังเรื่องแรกของเธอโดยเธอรับบท “มิสะ อามาเนะ” หรือ “มิสะ มิสะ” หลายคนสงสัยมากที่สุดว่าใครจะมารับบทนี้ ไม่ใช่แค่ว่ามิสะ อามาเนะเป็นตัวละครที่ได้รับความนิยมในหนังสือการ์ตูนต้นฉบับเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่องราวด้วย

“Death Note ต้นฉบับไม่เหมือนกับที่ฉันเคยอ่านมาก่อน ฉันรู้สึกประหลาดใจตั้งแต่ต้น ฉันบอกกับตัวเองว่าฉันไม่เคยอ่านอะไรที่ซับซ้อนและน่าสนใจเท่านี้มาก่อน และฉันก็เข้าไปในโลกของมันมากขึ้นขณะที่อ่านไปเรื่อยๆ ฉันรู้สึกยิ่งกว่าดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ นี่เป็นหนังเรื่องแรกของฉันด้วย ฉันจึงรอที่จะได้ดูหนังที่เสร็จสิ้นแล้วไม่ไหว” โทดะกล่าว
“ฉันจะแสดงสุดความสามารถเพื่อที่จะไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของมิสะ อามาเนะที่แฟนๆมีเสียไป” โทดะบอกอย่างจริงใจ
สำหรับประสบการณ์ครั้งแรกในการถ่ายทำในสตูดิโอภาพยนตร์ “ฉันเพลิดเพลินการรับบทมิสะ แม้ว่ามันจะยากเพราะมิสะเป็นตัวละครที่ไฮเปอร์ตั้งแต่ต้น ผู้กำกับช่วยให้ฉันได้รู้สึกสบายใจโดยการพูดคุยกับฉัน” เธออธิบาย โทดะเข้ากันกับเสื้อผ้าที่ค่อนข้างจะพิเศษของมิสะต้นฉบับได้อย่างเป็นธรรมชาติมากจนช่วยทำให้เกิดความตื่นเต้นในกองถ่าย

“ทาคาชิ คางะ” รับบท “โซอิชิโระ ยางามิ”
ทาคาชิ เกิดที่จังหวัดอิชิคาวะ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1950 เขาเริ่มต้นอาชีพที่บริษัทละครเวทีที่ชื่อ Shiki เขาเปิดตัวผลงานละครเวทีด้วยเรื่อง Jesus Christ Superstar เขาทำงานหลักในด้านละครเวที แต่ก็มีผลงานภาพยนตร์และทางทีวีอีกหลายเรื่อง เขาเป็นผู้ชนะรางวัลออสการ์ญี่ปุ่นจากสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ผลงานเรื่องล่าสุดของเขา ได้แก่ Moyuru Toki: The Excellent Company (ปี 2006 กำกับโดย ทัตซึโอกิ โฮโซโน่) และ Sengoku Jieitai 1549 (ปี 2005 กำกับโดย มาซาอากิ เทซูกะ)

ในเรื่อง Death Note เขารับบท โซอิชิโระ ยางามิ หัวหน้ากองสืบสวนใหญ่ซึ่งตามล่าคดีของคิระ เขาแสดงให้เห็นถึงความสามาถในการรับบทนักสืบละเอียดอ่อนและมีความสามารถ และยังเป็นพ่อที่มีครอบครัวแล้ว ผลงานเรื่องอื่นๆของเขา ได้แก่ The Yen Family (ปี 1988 กำกับโยจิโระ ทาคิตะ), Cabaret (ปี 1986 กำกับโดย ฮารูกิ คาโดคาวะ), Mahjong horoki (ปี 1984 กำกับโดย มาโคโตะ วาดะ), Akuryo Island (ปี 1981 กำกับโดย มาสาฮิโระ ชิโนดะ) ผลงานละครเวทีมากมายของเขา ได้แก่ Dr.Jekyll & Mr.Hyde, Les Miserables, Macbeth และเรื่องอื่นๆ

“ยมทูตลุค”
ยมทูตลุค คือ ชินิกามิ (ยมทูต) ซึ่งไม่เคยเบื่อหน่ายกับโลกแห่งความตาย โลกมนุษย์ดูเหมือนเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขา และด้วยเหตุผลนั้น เขาจึงตั้งใจทำสมุดโน้ตที่ชื่อ Death Note หล่นไว้ที่โลกมนุษย์ บุคคลใดที่ได้สัมผัส
สมุดโน้ตนี้ จะเป็น “คนเดียว” ที่สามารถมองเห็นยมทูต!!!
อาหารโปรดของยมทูตลุคก็คือ “แอปเปิ้ล”
มนุษย์เป็น …… เรื่องสนุก !!! …..


ผู้กำกับ “ชูสุเกะ คาเนโกะ”
ชูสุเกะ เกิดที่กรุงโตเกียว วันที่ 8 มิถุนายน ปี 1955 เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปศาสตร์โตเกียว ก่อนที่จะเข้าร่วมงานที่นิคคัตซึ คอร์ปอเรชั่น เขากำกับหนังเรื่องแรกในปี 1984 ตั้งแต่เขาออกจากบริษัทนิคคัตซึ เขาได้สร้างหนังหลากหลายแนวมาหลายปี หนังไตรภาคเฮเซ งาเมระ เรื่อง Gamera, Guardian Of The Universe (1995), Gamera 2: The Advent Of Legion (1996), Gamera 3: The Revenge Of Irys (1999) ทุกเรื่องเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เครดิตผลงานล่าสุดของเขา ได้แก่เรื่อง Azumi 2: Death Or Love (2005) และ A Toast To Love (2002) หนังเรื่องใหม่ God’s Left Hand/Devil’s Right Hand กำลังรอการออกฉาย

หนังสือการ์ตูนเรื่อง Death Note เกี่ยวกับสมุดโน้ตซึ่งฆ่าใครก็ตามที่มีชื่อถูกเขียนเอาไว้ ไลท์ ยางามิ นักเรียนไฮสคูล พบสมุดโน้ตเล่มนี้ซึ่งยมทูตลุคบังเอิญทำหล่นไว้ และเริ่มฆ่าบรรดาอาชญากรทั่วโลก … เนี้อเรื่องเป็นการโต้ตอบระหว่างความจริงและแฟนตาซี ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และยมทูต ด้วยเครดิตผลงานของเขา คาเนโกะเลือกได้รับเลือกให้เป็นผู้กำกับหนัง เขาเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับสไตล์เทคนิคการใช้ซีจีและสเปเชียล เอฟเฟกต์ และความสามารถในการสร้างหนังบันเทิงจากหนังสือการ์ตูน

“มันเป็นเทคนิคแบบดั้งเดิมมากๆ อย่างที่เห็นกันในเรื่อง Doraemon และ E.T.” คาเนโกะกล่าว “แต่เรื่อง Death Note มีความท้าทายอันใหม่เพราะผมต้องข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเด็กผู้ชายกับยมทูต ไม่ใช่แบบพี่น้องหรือแบบเพื่อน พวกเขาห่างกันทางด้านอารมณ์ แต่พวกเขาก็เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน”

ในการถ่ายทำหนังการ์ตูนเรื่องนี้ หนึ่งในส่วนที่ผมเน้น คือ ความเจ็บปวดทางจิตใจ “หนังสือการ์ตูนต้นฉบับแทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องความเจ็บปวดของบรรดาคนที่ถูกฆ่าโดยคนที่ถือสมุดโน้ต ผมถ่ายทำหนังจากมุมมองนี้ ผมก็เลยสามารถเน้นได้ว่าการสังหารหมู่ลึกลับนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และยังรู้ว่าคิระกลายเป็นที่ชื่นชอบคนบรรดาวัยรุ่นได้อย่างไร เพื่อสร้างให้เนื้อเรื่องสมจริงยิ่งขึ้น ผมยังได้เพิ่มฉากซึ่งตำรวจสอบสวนเหตุการณ์การฆาตกรรมด้วยแหล่งข้อมูลที่หลากหลายด้วย”

ขณะที่ไลท์ยังคงฆ่าบรรดาอาชญากรทีละราย ตำรวจคอยตามล่าเขาเพราะเขากลายเป็นฆาตกร เนื้อเรื่องถูกบอกเล่าให้สมจริงมาก และในแบบที่น่าเข้มข้น โดยการแสดงถึงความขัดแย้งระหว่างความเป็นวัยรุ่น (ไลท์) กับความเป็นผู้ใหญ่ (ตำรวจ) ในแง่ของทัศนคติและความคิด “ในตอนต้น ไลท์ทิ้งหนังสือกฎหมาย และหยิบสมุดโน้ตแห่งความตายขึ้นมา นั่นหมายความว่าเขาเป็นนักปฏิวัติที่ต้องการต่อสู้กับความชั่วร้ายทั่วโลกด้วยตัวของเขาเอง” ฉบับภาพยนตร์ได้มีการแนะนำตัวละครใหม่ชื่อ ชิโอริ เธอเป็นคนทำให้จิตวิญญาณการปฏิวัติของไลท์เพิ่มขึ้นไปอีก มีอยู่ฉากหนึ่ง ชิโอริบอกว่า ตามประวัติศาสตร์ การปฏิวัติทุกอย่างล้มเหลวด้วยตัวของมันเอง จากการที่เธอพูดแบบนี้ ผมต้องการบรรยายในสิ่งที่ไลท์ต้องเผชิญด้วยความรู้สึกที่ลึกมากขึ้น ยิ่งถ่ายทำมากขึ้น ผมก็ยิ่งรู้สึกต่อไลท์มากขึ้น ผมว่าฮีโร่คนนี้บริสุทธิ์และเห็นด้วยกับเขา” คาเนโกะกล่าว และยังเสริมอีกว่า “อิสรภาพทำให้โลกดีขึ้น ขณะที่ปล่อยให้อาชญากรออกมาบนท้องถนน และปล่อยให้พวกเขาทำในสิ่งที่พวกเขาชอบ ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ และทุกคนอาจจะรู้สึกดีที่จะฆ่าพวกเขาด้วยสมุดโน้ตแห่งความตาย เหมือนกับที่ไลท์ทำ แต่พวกเขาต้องเข้าใจว่าสมุดโน้ตมีพลังมากแค่ไหน ใครก็ตามสามารถตกนรกได้ถ้าชื่อของเขาหรือเธอถูกเขียนลงในสมุดโน้ต”

ฉากที่ไลท์อ่านหนังสือของ Nietzsche ที่ชื่อ Jenseits von Gut und Boese เป็นภาษาเยอรมัน ไม่ได้อยู่ในหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ หนังเรื่อง Death Note ต้องการให้ออกแนวดราม่ามากกว่าหนังสือการ์ตูน “ความหมายของคำว่า ยุติธรรม กำลังเปลี่ยนไปในช่วงหลายปีมานี้ ผมรู้สึกว่าเนื้อเรื่องประเภทนี้ถูกสร้างขึ้นมาถูกช่วงจังหวะ ถูกที่ มันจะต้องเกิดขึ้น” คาเนโกะกล่าว

เครดิตผลงานเรื่องอื่นๆได้แก่ GMK – All Out Monsters Attack (2001), Cross Fire (2000), F (1998), School Ghost Story 3 (1997), It’s A Summer Vacation Everyday (1994), Necronomicon (1993), Summer Vacation 1999 (1988), ซีรีส์ทางทีวี เรื่อง Urutoraman Makkusu (2005), Ultra Q Dark Fantasy (2004) และอีกมากมาย

รางวัลที่ได้รับ ได้แก่ :
1984 รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม – เทศกาลภาพยนตร์โยโกฮาม่า
1988 รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม – เทศกาลภาพยนตร์โยโกฮาม่า
รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม – เทศกาลภาพยนตร์คุมาโมโตะ
1995 รางวัลผู้กำกับโบว์น้ำเงิน
รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม – เทศกาลภาพยนตร์โยโกฮาม่า
1997 เรื่อง Gamera 2 – รางวัลหนังไซไฟยอดเยี่ยมของญี่ปุ่น

“เท็ตซึยะ โออิชิ” บทภาพยนตร์
เท็ตซึยะ เกิดที่จังหวัดฟุคุโอกะ ปี 1965 เขาเริ่มต้นอาชีพในฐานะนักเขียนนิตยสาร และนักวางแผนอิสระด้านการขาย เขาเปิดตัวด้วยผลงานสคริปต์ในปี 1994 เรื่อง Hikinige Family ในปี 1995 เขาได้รับรางวัลทีวีซีนาริโอของหนังสือ พิมพ์ โยมิอุริ ครั้งที่ 1 จากเรื่อง Otome no Mikokoro ล่าสุดเขาเขียนบทให้กับละครทีวีเรื่องฮิต Chakushin ari (2005) เครดิตผลงานทางทีวีเรื่องอื่น ได้แก่ Kindaichi Case File (2001), You’re Under Arrest (2002) และ Kunimitsu no Masa (2003) หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องที่สองสำหรับเขาตามหลังเรื่อง Muscle Heat (2002)


 28 กันยายน 2549 ทุกโรงภาพยนตร์


""


""


""


""


28 กันยายน 2549 ทุกโรงภาพยนตร์

Continue Reading
You may also like...
Click to comment

Leave a Reply

More in KOREA

To Top